การได้กลับมาครั้งนี้กว่าจะได้เขียนอีกครั้งก็ปาเข้าไป เกือบปีที่ได้เริ่ม (พ.ย. 2558) แต่ทุกครั้งที่เขียนจะพบสภาวะธรรมแปลกๆ ที่ตั้งใจเก็บไว้ทบทวน
เริ่มจากที่เคยมีคำถามว่า คนเราเกิดมาทำไม อันนี้ได้คำตอบระหว่างการเดินจงกรมที่วัดสุนันท์ สิ่งที่ตัดสินได้ว่า ได้คำตอบถูกหรือไม่ จะเป็นสภาวะที่บางคนที่เคยสนทนาธรรมด้วยกันบอกว่า เกิดปิติ จะเป็นความรู้สึกที่น้ำตาจะไหล แปลกมาก
ถัดมาเมื่อปี 2554 ปีที่น้ำท่วมจนไม่สามารถเข้าออฟฟิศอยู่นาน ปีนั้นกว่าจะเข้าออฟฟิศอีกครั้งก็ปลายปี 2554 เกือบจะปีใหม่ สิ่งที่สังเกตเห็นคนอื่นๆ ในตลาดหลังสวน คือการเคลื่อนที่ที่วุ่นวาย แย่งกันขาย แย่งกันกิน บางจังหวะเห็นเป็นก้อนๆ เคลื่อนที่มุ่งหาของกินตอนเช้า สิ่งที่เสริมความเป็นก้อนๆ นั้นมาจากคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ คำสอนของท่านลึกกว่านั้นอีก อันนี้แยกออกว่าเป็นความคิดหม่นๆ ที่สะสมตั้งแต่ดูข่าวน้ำท่วม เห็นว่าสุดท้ายแล้วไม่อาจเอาอะไรไปกับตัวได้ ไปได้แต่ชีวิต เพราะคนไทยในสังคมเมืองเช่นเรา อาจไม่เคยเจอสภาพที่ต้องนอนกลางถนนแบบนี้ หรือต้องย้ายทั้งครอบครัว ไปชลบุรี ระยอง ราชบุรี บางปะกง หรือแม้แต่บางคนไปไกลถึงเชียงใหม่อยู่เป็นเดือน เราก็เคยไปเยี่ยมอยู่ช่วงนึง ประสบการณ์ของน้องคนนึงบ้านแถวบางบัวทองที่เล่าให้ฟังว่า แวะซื้อของที่ BigC ไปเตรียมอยู่ที่บ้านอย่างเพียบ แต่พอจังหวะน้ำทะลักเข้าบ้าน เรียกได้ว่า ถาโถม เนี่ย ไม่มีทางเอาอะไรติดมือมาได้เลย แค่ไปรับพ่อกับแม่นั่งเรือออกมาได้ก็สุดสุดแล้ว มันเป็นสิ่งที่สะสมมาตลอด 3-4 เดือนก่อนเปิดเทอมใหญ่เข้าออฟฟิศ ความคิดก่อนเกิดสภาวะคือ ไม่มีวัตถุอะไรยั่งยืนถาวร เป็นเชิงกายภาพที่เราเห็นทั้งหมด และพร้อมจะหายไปด้วย สภาวะที่เกิด ณ ตอนนั้น คือ ภาพสโลโมชั่นของก้อนๆ ที่เคลื่อนที่อยู่แบบเร็วๆ ในตอนแรก แปลกดีทำไมมันช้าๆ ลง แต่ขณะเดียวกัน ฐานสมาธิไม่นิ่งพอจะอยู่กับสภาวะได้นาน (คิดเอง) ความกลัวจะหลุดออกจากสภาวะเข้ามาทันที แล้วก็หลุดไป และไม่เกิดอีกจนกระทั้่งเมื่อวาน
อีกเหตุการณ์ที่ได้สนทนาธรรมกับเพื่อนที่ฝึกจิตแนวประเทศพัฒนาแล้ว ไม่แน่ใจว่าเหมือนหนังเรื่อง Inception หรือไม่นะคะ ไม่ได้ศึกษาด้านนี้แต่แค่ฟังจากที่คุยกันคล้ายๆ อยู่ ได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์จักรยานล้มตอนที่กลับมาจากแคนาดาใหม่ๆ เพราะตอนนั้นคิดว่าขี่จักรยานได้คล่องแล้ว เพราะได้ขี่จักรยานใน Stanley's Park ซึ่งเหมือนกับเราขี่อยู่ในป่าภูเขาเลย พอกลับมาเมืองไทย ก็ขี่จักรยานแบบชิลล์มาก มาตกม้าตายตอนเจอลูกระนาดทางลงสะพานที่สวนศรีนครเขื่อนขันธ์นี่เอง แต่สิ่งที่จำได้แม่นในเหตุการณ์นั่นมากกว่าการไปหาหมอฉีดยาทำแผลตั้ง 2 ครั้งทั้งอนามัยกับโรงพยาบาล คือ การเกิดสภาวะที่นิ่งกับจิต จนกลับมากายไม่ทัน แต่รับรู้ได้ละเอียดถึงขั้นว่า ถนนมันขรุขระแข็งมากนะ วัดด้วยหน้าที่ไถไปบนถนน อันนี้เพื่อนบอกว่า "ผ่านความไม่กลัวตายละ แต่จิตยังไม่เป็นอัตโนมัติที่ดึงกลับมาทัน" เหตุการณ์นี้พิสูจน์บางอย่างที่เคยได้ฟัง เช่น การทำสมาธิ ฝึกจิต ก็ตาม ไม่ควรทำขณะขับรถ เพราะถ้าจิตรวมศูนย์ปุ๊บ จะตัดทางกายเลย อันนี้อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งอันตรายมาก เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งได้รับคำถามจากพี่คนนึงเกี่ยวกับการทำสมาธิระหว่างขับรถ หรือ พบว่าบางคนเริ่มปฏิบัติธรรม แต่ภายหลังพบว่าตัวเองเป็นไบโพล่า อันนี้อาจเป็นเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเป็นการตามให้ทันความคิด หรือเล่นกับสมอง เป็นต้น
เรื่องต่างๆ ที่ได้จากมอม มอมสอน 2-3 อย่าง ที่ยังรอการพิสูจน์ เช่น อุบัติเหตุที่มีคนเสียชีวิตเยอะๆ เป็นกลุ่ม ไม่ใช่เรื่องกรรมเสมอไป ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะน่าเสียดายมาก เพราะการเกิดมาเพื่อสร้างบุญใหม่อีกครั้งทำได้ยาก, วัดกันง่ายๆ ถ้าตัวเราเกิดความเสียใจ น้อยใจ แสดงว่าตอนนี้ตัวเราบุญน้อยลงนะ, การเจอกันของคนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นการผูกกันทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดี ทั้งนั้น แต่ถ้าคอยสังเกตจะรู้ว่าเป็นแบบไหน ดังนั้น ต้องละเอียดพอจึงจะรู้ได้ แม้แต่ตัวเราเอง (อันนี้พอเห็นเองอยู่บ้าง) เราจะรู้ว่า เราเกิดมามีกรรมอะไรเกิดขึ้นกับเรา ดังนั้น เราสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามแนวทางที่อยากจะไป
เรื่องเกี่ยวกับศีล ที่มีกัลยาณมิตรรุ่นน้องคนนึงทำให้ก้าวข้ามออกมาได้ คือ การปฏิบัติที่ไม่ตรงตามที่จิตตามความคิดความรู้สึกเราอยู่ เหมือนการหลงกับ "กับดักทางโลก" เนื่องมาจากความเกรงใจ หรือการที่ไม่อยากทำให้คนอื่นเสียใจ แต่พอได้รับคำชี้แนะว่า การไม่ปฏิบัติให้ตรงกับจิต บางอย่างจะทำให้ศีลไม่บริสุทธิ์สักที จึงเข้าใจได้ว่าทำไมบางคนถึงเลือกทางเดินของตัวเอง แบบตรงไปตรงมา นั่นคือ ไม่ยอมให้ศีลด่างพร้อย ถึงกระทั่งว่า สังคมอาจไม่ชอบ ไม่พอใจ แต่ถ้าตามสังคม ก็จะผิดศีลอยู่เรื่อยไป
ที่ว่า เริ่มปฏิบัติธรรมอีกครั้ง เริ่มมาได้ประมาณ 10 เดือนใช้การสะสมการนั่งสมาธิทุกวัน รู้ตามทันได้ทันทีว่าบางวันนิ่งได้ดีมาก แต่พอเริ่มมีจังหวะงานสำคัญๆ ที่เข้ามาเยอะ จิตจะคิดตามเรื่องงาน แต่ก็น่าจะมีฐานสมาธิที่แข็งแรงขึ้น จากเหตุการณ์ที่เกิดภาพสโลโมชั่นอีกแล้วเมื่อวานที่เห็นคนกำลังจะล้ม แต่ไม่ลงในทันที มือเราเข้าไปคว้าตัวได้ทัน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า จิตตัดกลับอัตโนมัติมาที่กายได้เร็วขึ้น แต่อันนี้ยังตัดสินใจไม่ได้แน่นอนว่าใช่ภาพสโลโมชั่นแน่ๆ คงต้องพยายามปฏิบัติต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่ทำให้เป็นแรงปฏิบัติต่อไปในการกลับมาเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้ ที่พบว่า ได้กัลยาณมิตรเพิ่มที่มีความตั้งใจที่จะเริ่มปฏิบัติอย่างสงบและทำได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยตัวเอง และแถมยังชักชวนให้หมั่นปฏิบัติด้วยกันอีก ^^
1 comment:
อนุโมทนาบุญจ้า
Post a Comment