Sunday, November 22, 2009

ฝึกจิตเตรียมตัวเข้าวัด

คุณดังตฤณ @dungtrin on Twitter

ต้องเจริญสติไปถึงไหนมือใหม่จึงจะมั่นใจว่ามาถูกทาง? นี่คือข้อกังขาสามัญที่ต้องเกิดขึ้นกับมือใหม่ทุกคน ซึ่งผมก็เช่นกัน

บนเส้นทางสายนี้ คุณจะไม่รู้สึกมั่นใจจนกว่าจะมีใจมั่น นั่นคือจิตอยู่ในสภาพตั้งมั่นรู้ มากกว่าที่จะซัดส่ายคิดไปเรื่อย

ภาวะ ที่จิตฟุ้งซ่านซัดส่ายไปเรื่อยนั่นแหละ ต้นเหตุสำคัญของความไม่แน่ใจ แม้จะเกิดสติรู้เห็นกายใจบ้างแล้ว ก็เหมือนมีคลื่นรบกวน แทรกแซงความรู้เห็น ตลอดจนชะล้างความมั่นใจให้หายเกลี้ยงร่ำไป

ช่วงสามเดือนแรกของการฝึกตามตำรา คอยระลึกเท่าที่จะนึกได้ว่าตอนนี้กำลังหายใจออก ตอนนี้กำลังหายใจเข้า ผม ไม่มีความมั่นใจเลยว่ามาถูกทาง บางครั้งคัดแน่นอึดอัดไปหมด บางครั้งถามตัวเองว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ บางครั้งสงสัยว่าจะต้องเห็นลมหายใจให้เป็นภาพหรือเอาแค่รู้ว่าหายใจ บางครั้งงงว่าต้องรู้เฉพาะจุดกระทบของลมตรงไหน ฯลฯ

ผม มีแต่ศรัทธาว่าทำตามพระพุทธเจ้าสอนเป็นหลักใจอย่างเดียว เรียกว่ามีความสว่างหนุนหลัง ที่เหลือในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยคลางแคลง เรียกว่าเดินหน้าอยู่บนก้าวย่างที่เป๋ไปเป๋มาเกือบตลอด

อย่าง ไรก็ตาม ส่วนลึกมีความเชื่อว่าเราทำตามพระพุทธเจ้าสอน แล้วเราก็สังเกตไปเรื่อยๆว่าอย่างไหนก้าวหน้าอย่างไหนก้าวหลัง อย่างไหนเทียบเคียงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสได้ ก็น่าจะเป็นการเพียงพอ ผมไม่พยายามแสวงหาครูบาอาจารย์ อาจเป็นเพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหน และสมัยนั้นสื่อประชาสัมพันธ์สถานฝึกกรรมฐานก็ไม่แพร่หลายเหมือนเดี๋ยวนี้

ผมมักนั่งหลับตาระลึกถึงลมหายใจเป็นชั่วโมง เพียงเพื่อตอนลืมตากลับ ‘รู้สึก’ ถึงลมหายใจเข้าออกได้แจ่มชัดกว่าเป็นไหนๆ หลายเดือนกว่าจะฉุกคิด พยายามใช้ปัญญาสำรวจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปได้

ผม จับสังเกตได้ทีละนิดทีละหน่อยว่าทุกครั้งเมื่อปิดตาลง จะเกิดอาการเล็งจิตเข้าไปที่จมูก หรือบางทีก็หว่างคิ้ว หรือบางทีก็ตรงกลางๆบริเวณส่วนที่กลวงๆในตัว ด้วยความคาดหวังว่าจะสงบลงทันใด เข้าใจว่าความคิดเป็นสิ่งบังคับให้สงบระงับกันได้

ส่วน ลมหายใจ ผมก็ไปสำคัญว่ามันต้องยาว ต้องลึกทุกครั้ง ถึงจะนับว่าดี ผลคือเกิดความอึดอัดคัดแน่น คับแคบตั้งแต่แรกเริ่มปิดตาตั้งใจทำสมาธิกันเลยทีเดียว

เทียบ กับตอนลืมตา สายตาผมจะแลไปตรงๆ ไม่โฟกัสที่จุดจุดหนึ่งข้างหน้า ทำให้จิตไม่เล็งสั้นๆแคบๆ มีความเปิดกว้างยิ่งกว่าตอนปิดตาเล็งจมูกเยอะ จากนั้นจึงนึกถึงลมหายใจเล่นๆ ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่พยายามบังคับว่าต้องเลิกฟุ้งซ่านในทันที อีกทั้งไม่คาดหวังว่าลมจะต้องดี ต้องยาวท่าเดียว จุดเริ่มต้นจึงสบายใจกว่ากันเยอะ

ผม สังเกตต่อว่าพอสบายใจแล้วระลึกเท่าที่จะนึกออกว่า ลมหายใจกำลังเข้า ออก หรือหยุด แค่นั้นเอง เดี๋ยวก็กลายเป็นความเคยชิน แม้จะเหม่อลอยไปบ้าง ลมหายใจก็เหมือนปรากฏอยู่ในความรับรู้เอง ไม่ต้องเพ่งพยายามให้เหนื่อย

ต่อ มาผมอ่านจากหลายแห่ง พบว่ากล่าวไว้ตรงกันว่าหลักการทำสมาธิที่ถูกนั้น จะต้องได้ความรู้สึกเป็นสุข อิ่มใจ สบายตัว ไม่ใช่เป็นทุกข์ แห้งเหี่ยว เนื้อตัวแข็งกระด้างแต่อย่างใด จึงมั่นใจว่าการเริ่มต้นที่ดี ควรทำอย่างไรก็ได้ให้ห่างไกลจากความเคร่ง เพ่ง และเกร็ง

จับ หลักได้เช่นนั้น ผมก็สนุกกับการทำสมาธิมากขึ้น ไม่ดันทุรังนั่งหลับตาขัดสมาธินานๆ เมื่อใดมีโอกาสนั่งเก้าอี้ได้ก็เอาเลย จะอยู่ในห้องนอนหรือรอใครในที่สาธารณะก็ตาม ผมเริ่มด้วยการสำรวจสังเกตว่าฝ่าเท้างองุ้มไหม ถ้างุ้มหรือเกร็งอยู่ก็คลายออกเสีย วางเท้าแบราบกับพื้นอย่างสบาย

มัน ได้ผลทุกครั้ง พอฝ่าเท้าสบาย พื้นจิตพื้นใจก็พลอยสบายตาม แสดงให้เห็นชัดว่าอาการของฝ่าเท้าสะท้อนได้ว่าสภาพจิตของเราเครียดหรือสบาย อยู่ เมื่อทำให้เท้าสบาย จิตก็หายเครียดไปเยอะ

จาก นั้นจึงสำรวจว่าฝ่ามือผ่อนคลายหรือกำอยู่ ถ้ากำก็คลายเสีย ให้เกิดความรู้สึกผ่อนพักสบายไม่ต่างจากฝ่าเท้า และถึงที่สุด ผมสำรวจขั้นสุดท้ายว่าทั่วใบหน้าผ่อนคลาย หายขมวด หายตึงหรือยัง แค่สำรวจเฉยๆก็เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อทั้งใบหน้าคลายออกหมดได้

เมื่อ ฝ่าเท้า ฝ่ามือ และใบหน้าคลายจากความฝืนทั้งหมด อุปสรรคของสมาธิก็หายไป จิตเปิดกว้างสบาย พร้อมจะรู้ พร้อมจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับกายใจบ้างแล้ว คุณลองดูตอนนี้ก็จะเห็นจริงตอนนี้เลยเช่นเดียวกัน
ตัดมาจากวารสารบ้านอารีย์ ที่อ่านแล้วรู้สึกอยากแบ่งปันขึ้นมาทันทีเลยค่ะ เพราะเห็นว่าเป็นคำอธิบายที่เข้าใจได้ง่ายมากจริง โชคดีมากมากที่คุณดังตฤณ หรือ @dungtrin แห่งโลก Twitter ได้เขียนไว้ใน Dungtrin's Secret
การที่ได้มาเจอข้อความนี้รู้สึกได้ว่าการมาสวนสันติธรรมคราวนี้มีความคืบหน้าไปมากทีเดียว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มา....
จากประสบการณ์ครั้งแรกที่เหมือนกับไม่อยากถามอะไรพระอาจารย์ปราโมทย์เลย กลัวท่านเหนื่อยกับคำถามของคนที่ไม่เคยฝึกอะไรมาเลย ท่านตอบมาเราก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี ก็คำถามที่สำคัญเลยก็คือแล้วเราจะรู้ได้ไงว่าจิตเราจะไปอยู่ตำแหน่งไหนในร่างกายอ่ะ ?(ไม่ถามซะดีกว่า)...แต่ยังโชคดีที่มีพี่เลี้ยง รวมทั้งพี่กรรณิการ์ (ได้รู้จักเพราะนั่งรถคันเดียวกันไป) พี่เค้าได้ปรึกษาพี่เลี้ยง และมีประโยคเด็ดที่ทำให้เราพัฒนาได้คือ ระหว่างที่พี่เค้ามีคำถามอยู่ในหัวมากมาย CD ของหลวงพ่อฯ ที่ได้ไปก็เยอะแยะ แต่แปลกมากตรงที่ทำไมเปิด CD ที่หยิบขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ กลับตอบคำถามได้ตรงกับที่สงสัยได้หล่ะ ..., อีกครั้งที่ประสบกับความรู้สึกที่มันเห็นว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไปยืนอยู่ข้างนอก แล้วเห็นตัวเรากำลังทำโน้นทำนี่อยู่ ... ซึ่งเป็นคำอธิบายที่มือใหม่อย่างเราได้เห็นแสงสว่างขึ้นมานิดนึงเชียวน่ะเนี่ย

พระอาจารย์ปราโมทย์ สวนสันติธรรม จ.ชลบุรี

มาถึงครั้งที่ 2 ก็ได้หยิบหนังสือประมวลธรรมเทศนาของพระอาจารย์มาอ่านดู อ๊ะ!!! เจอคำตอบของคำถามในหนังสือหน้านั้น เลยว่า การคิดว่าจิตอยู่ตรงไหน เช่นอยู่ที่ท้องของเรา จะทำให้เราไปบังคับ จับแน่น มัดเอาไว้ เราก็จะไม่สามารถแยกสภาวะจิตของเราแบบสบายๆ ได้อยู่ดี เรียกว่า ห้ามบังคับใดใดทั้งสิ้น และแถมยังได้ส่วนเสริมจากคุณดังตฤณอีกว่า ให้ใจเปิดกว้่าง ไม่เกร็ง หายใจไม่ต้องลึก ยิ่งเป็นคำอธิบายที่แจ่มชัดมากขึ้นอีก :D

วันนี้ได้ข้อปฏิบัติจากพระอาจารย์ที่สำคัญคือ "เราจะฝึกอะไรก็ให้หาให้ตรงจริตเรา (หรือนิสัยส่วนตัวของเรา) ถ้าเราลุกลี้ลุกลน ไม่ชอบอยู่นิ่ง แล้วไปฝึกเดินจงกรม ฝึกนั่งสมาธิ หลวงพ่อฯ บอกว่าก็คงไม่สำเร็จแน่ชาตินี้ คือเราต้องสังเกตตัวเราก่อนว่าเราเป็นแบบไหน" ตรงนี้ชอบมากมากเลย เหมือนเวลาเราจะปรับปรุงอะไรบางอย่าง เช่นงานของเรา เราก็ต้องศึกษางานนั้นๆ ก่อนว่ามีจุดดีจุดด้อยตรงไหน พัฒนาอะไรเพิ่ิมเข้าไปได้บ้าง หลวงพ่อฯ บอก"ถ้าเราเป็นคนสนใจกาย รักสวยรักงาม ดูกระจกบ่อยๆ เราก็ต้องไปฝึกดูกาย สังเกตกายไป แต่ถ้าเราเป็นคนใช้ความคิดเยอะ์ พวกชอบคิดมาก ก็ต้องฝึกแยกจิต ความรู้สึก อารมณ์ แยกขันธ์ ให้ดูให้รู้ว่า จิตเรารู้สึกยังไง ปล่อยไปอย่าไปขัดขวาง อย่าไปกดจิตไว้ แต่ต้องมีสติตลอดเวลา แล้วจะรู้ว่า จิตมันไปได้แต่มันจะไปไม่นานหรอก เหมือนเราโกรธ แต่จะหายได้เร็ว"

ครั้งนี้มีความประทับใจอีกอย่างนึงก็คือ ได้เจอพี่กรรณิการ์คนเดิมนั่งรถคนเดียวกันมา ได้มีโอกาสนั่งใกล้กันจึงได้มีแว่บนึงที่พี่เค้าหันมาบอกว่า "ในช่วงที่เรามีความสุข เราแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ต้องลองดูตอนที่เรามีความทุกข์ หดหู่ เศร้าใจ หรือมีกิเลสหลายๆ ตัว น่ะ ถึงจะมองเห็นชัด จนบางทีตัวเราเองก็กลัวเหมือนกันว่า ฉาำกสังคมที่เราเคยเป็นเราปิดบังกิเลสเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาหรือ" รู้สึกว่าเห็นด้วยจริงๆ ค่ะ ต้องเรียกว่า ภาวะเข้มข้นของจิต ถึงจะแยกออก อาจจะเปรียบเทียบได้เหมือนรสชาติที่ลิ้นรับรู้ ถ้าเราใส่เครื่องปรุงทุกอย่างเท่าๆ กันหมด รสออกมาอร่อยเชียว แต่ถ้าเราเพิ่มน้ำปลาลงไปอีกสัก 2-3 ช้อนเราจะรับรู้รสเค็มได้มากที่สุดเลย ก็คงเหมือนกิเลสตัวใดตัวหนึ่งออกมาอย่างชัดเจนเราถึงจะเห็นมันได้ไง :)

ขอขอบคุณภาพจาก palungjit.com

Friday, June 26, 2009

Indonesian Lifestyle-Bandung



อยู่นานๆ แล้วเริ่มรู้ว่าจริงๆ คนอินโดนีเซีย ก็เหมือนกับคนไทยอ่ะค่ะ คือ ใจดี ยิ้มง่าย อยากทำอะไรให้คนอื่นไปหมด และก็ชอบ Shopping (และเค้าก็คงรู้เหมือนกันว่าเราชอบ เลยพาไป Shopping เกือบทุกวัน) จะว่าไปดูเหมือนว่าในกลุ่ม ASEAN จะเหมือนคนไทย เกือบที่สุด ยกเว้นคนลาว เพราะพูดภาษาเดียวกันก่ะเรา :)

คาราโอเกะก็ชอบไปเหมือนกันทุกชาติ ทุกภาษา ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดฯ


อาหารตามในรูปที่ดูดูแล้วน่าทาน คือ (ตามลำดับ) Nasi Ayam Goreng Mentega, Bakso Halus Mie, Nasi Goreng, Bihun Goreng Seafood, Mie Ayam Katsu Teriyaki Saus etc.
Actually, first 2 dishes are the meal we (Mr. Chan, me, and Alvin) ordered on our (Mr. Chan & me) first meal and last meal together. We just walked from the hotel only 10 min to reach here...this place is nearby Yokyo Department store.





สำหรับบางคนที่ชอบนั่งสบายๆ ในร้านกาแฟ คล้ายๆ กับร้านวาวี และรสชาติอร่อยเข้ม



เล่นนำ้ตกร้อนจากภูเขาไฟ เปลี่ยนเสื้อกันตรงนั้นเล้ย+++




ลายมือเค้าสวยมากค่ะ เลยเหมามาหลายอัน :D

ที่นี่มีสระว่ายน้ำร้อน เหมือนอยู่ใน Spa ตลอดเวลาและออกกำลังกายไปด้วย แถมถ้าจะพักที่นี่ต้องจองกันล่วงหน้า 3 เดือน
Original อังกะลุง ทำอังกะลุงโชว์ โดยต้อง Sync. ตัวโน๊ตทีละตัว ขูดไม้ไผ่ที่ละซี่ กว่าจะได้เป็นอังกะลุงทั้งตัว แต่ละคนมีอังกะลุงในมือเป็นโน๊ต โด เร มี ฟา...... แล้ว Conductor สาวสวยสอนวิธีการเล่นอังกะลุงพร้อมกันตั้ง 200 กว่าคน ประทับใจสุดสุด

ตบท้ายด้วยการพักผ่าน ณโรงแรมใจกลางเมือง เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมประวัติศาสตร์ของเมือง Bandung ใกล้ๆ กับ African-American Museum ไปไหนมาไหนก็สะดวกสบายเพราะทางโรงแรมมีรถตู้ Service ให้ตลอด ตอนขากลับก็ยังได้ใช้บริการมาที่สนามบิน Bandung (Domestic Airport)
ตกแต่งสวยงานด้วยคุ้กกี้สุดอร่อยจากพี่สา :)







Sunday, June 14, 2009

Step on INDONESIA

มาถึงโรงแรมประมาณ 4 โมงครึ่ง (เวลาจาร์กาตา บันดุง เท่าเมืองไทย) เพราะว่าต้องนั่งรถจากสนามบินมาประมาณ 2 ชั่ีวโมงกว่ากว่า เหมือนขับจากกรุงเทพไปพัทยาอ่ะค่ะ ตอนแรกคิดว่าเหมือนอินเดีย ก็ยังไม่กล้าเข้าห้องน้ำเข้าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ รู้สึกเหมือนเมืองไทยเลยค่ะ ต่างแค่เป็นประเทศมุสลิม และก้อหาหมูกินไม่ได้เท่านั้นเอง (เลยไม่มีไข้หวัดหมูย่ำกรายค่ะ)

สนามบินชื่อ ซูการ์โน ฮัตโต มีตั้ง 3 Terminal (เท่าที่เห็น) ใหญ่มาก หลังคาสีส้ม เหมือนหลังคาบ้านคนทั่วไปเลย สำหรับ TG บินมาลงทุกวันค่ะ พูดถึง TG เนี่ยตอนแรกคิดว่าไม่ต้องนั่งรถ Bus แต่ที่ไหนได้ ไปถึง Gate E2 ต้องนั่งรถบัสไปขึ้นเครื่องตั้งไกลน่ะค่ะ แล้วก้อ Gate ไม่ได้อยู่ทางซ้ายอย่างที่คิดด้วย เพราะจำได้ว่าบิน Low Cost ก็เดินมาที่ Gate E เหมือนกัน คอนเฟริ์มว่าไม่แตกต่างจากที่บินสายการบินอื่นในเรื่องการขึ้นลง Gate ส่วนบนเครื่องคนไทยก็บริการดีอยู่แล้วหล่ะค่ะ ตัวอย่างอาหารบนเครื่องก็คือ Chicken Sausageมีแจกดอกกล้วยไม้ไว้ติดกระเป๋าสำหรับผู้หญิงก่อนลงเครื่องด้วย


สำหรับรถรับส่งจากจาร์กาต้ามาที่เมืองบันดุง ง่ายมากค่ะจอดรอที่สนามบินเลย ราคาคนละ 135.000 IDR (อินโด รูเปี๊ยะ ซึ่งเค้าใช้จุดแทน comma ค่ะ) = 462 บาทค่ะ มีน้ำแจกด้วย มาถึงโรงแรมก็เข้า Check-in แล้วก็เดินหาอะไรกินค่ะ โชคดีมีพี่อีกคน (วศ 10) จากเหมืองมาด้วย เลยมีอารมณ์เดินหน่อย เพราะบางทีเดินผ่านสวนสาธารณะก็ไม่ใช่ว่าดูปลอดภัยสักเท่าไหร่ มีความสกปรกบ้าง คนดูไม่ค่อยน่าไว้ใจบ้างก็มี แต่พอถึงตรงที่มีร้านค้า ร้านอาหารเยอะๆ ก็น่าจะเหมือนหาดใหญ่ (พี่เค้าบอกค่ะ) แล้วก็หาอาหารน่าตาคล้ายไทยได้ง่าย เลยเก็บเมนูอาหารอินโดนีเซียเอาไว้สั่งต่อค่ะ สำหรับเครื่องปรุงเนี่ยมี ซอสอันนึงอร่อยดีคล้ายๆ น้ำจิ้มกุ่ยช่าย แม่น่าจะชอบ ให้มาผสมกับน้ำส้มสายชู ปรุงก๋วยเตี๋ยวใช้ได้เลย






อ๋อ โรงแรมนี้ดีมากเลย ชื่อ Savoy Homann Hotel เค้าให้ใช้ Wifi Free ต่อ Net ก็ง่ายด้วย laptop ไม่เหมือนโรงแรมบางที่ต้องจ่าย Rate ตั้งแพง แถมคนที่หน้าเคาน์เตอร์แลกตังค์ เค้าไม่มีเศษให้ก็เลยปัดเศษให้แถมให้อีกต่างหาก ส่วนเรื่องแลกเงินขอแนะนำ้ว่าแลกดอลล่าร์จากเมืองไทยมาก่อน แล้วเอาดอลล่าร์มาแลกอินโด รูเปี๊ยะต่อที่สนามบิน ขอย้ำ!!! ที่สนามบิน เพราะว่า Rate ดีกว่า
จาก Oanda: 1 US Dollar = 1012.150 Indonesian Rupiah (IDR)
สนามบิน = 999.000 IDR
โรงแรม = 977.500 IDR

ติดตามตอนต่อไปค่ะ

Friday, April 17, 2009

The Street Dog and The Teddy Bear

Blooming Rose Club
(Nuturing Healthy Body & Mind)
Tel. : 081-209-4722
Contact email: sut_ple@yahoo.com

It was noon in the rainy season, but it was very hot as if the sun was not far from the world. A very dirty street dog with many scars on his face was walking along the street in an obvious state of happiness. He had a small, dirty Teddy Bear in his mouth. I saw him and asked " Where are you going?" He stopped and looked at me. I thought he wanted to show me the Teddy Bear he held in his mouth. But then, he ran away. I continued to look at him and began to think about the state of people today.

Many people are sad about the past and worry about the future. They forget to stay focused on the happiness of the present. This is different than the dog with the Teddy Bear. That dog is not unhappy with his life, even though he is only a street dog. He is not worrying about his dinner, just happy in the moment with the only possession he has in life.

There are always two ways to look at thing. For example, if it is raining some think that this is not good. It is inconvenient to go some place. But, some think it is good. They can breathe in the fresh air and smell the flowers and trees. During the day some think they are too busy and have too many things to do. Others think it is good to be busy. They enjoy that fact that they have things to keep their life full. It doesn't matter what is happening in your life, think about it in the positive, even though it may not be good right now.

When things are not as you want at the present you should look to the future. For example, some are born to very poor families. When they are faced with bad situations in their life it may be difficult to accept. Some become discouraged with their lives. But, those who look to the future understand that being born poor can make one diligent, strong, patient and economical. These are qualities that can lead to a rewarding and productive life in the future. The important thing is you have to have positive thinking to make yourself happy. Good things will happening to you. All has a reason and is good.

Time passes very quickly. In each day you may be happy or sad. It's normal. If you are sad now it means you will be happy soon. Don't worry about the sadness. Hold your head up, look at the good things you have and a good situation will happen soon.

Remark:
If reading this has been beneficial to you, then why not copy it and pass it to a friend.

With Love.
Apple

Saturday, January 3, 2009

ธรรมะในกลุ่ม



3 มกราคม 2552
เอาล่ะ ก่อนจะหันไปทำกิจกรรมอย่างอื่น รีบเขียน blog ธรรมะ ต่อดีกว่า สดๆ ร้อนๆ เลย หลังจากไปปฏิบัติธรรมที่วัดสุนันฯ ประทับใจจัง ว่าเจออีกโลกนึงที่มีผู้คนมองเห็นและเข้าใจชีวิตเข้ามาอยู่ด้วยกัน (ถึงแม้ตัวเองยังไม่ีได้เข้าใจอย่างถ่องแท้น่ะค่ะ) เพื่อนๆ ทุกคนที่อ้างถึง ขออนุญาติอ้างชื่อ เพื่อเป็นการอนุโมทนาสาธุบุญต่อๆ กันไปน่ะค่ะ :D

เริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม ตอนแรกนัดกันประมาณ 9 โมงอ่ะ คาดว่าจะนัดเจอที่บ้านพัชร แต่ไปๆมาๆ เปิ้ลซึ่งเพิ่งกลับมาจาก Norway เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็โทรมาพอดี (บังเอิญหรือรู้ก่อนก็ไม่รู้อ่ะ) แต่จากที่คุยโทรศัพท์ เปิ้ลก็ตัดสินใจไปด้วยกันทันที ไม่ได้ใช้เวลาเตรียมตัวมากนัก อือม+++ ที่ Norway มีวัดไทยในเมืองหลวงเท่านั้นอ่ะค่ะ แล้วก็เลยตกลงกันใหม่ใช้เส้นทางถนนพระราม 2 มีผู้เข้าร่วมขบวนการ 4 คน คือ พัชร คุณแม่ัพัชร เปิ้ล ภา และบอน เอง ได้แวะซื้อขัน ยากันยุง และขนมนิดหน่อย แต่ไม่รู้ก่อนว่าทานอาหารได้มื้อเดียวค่ะ :{ พอรู้ก็สายไปเสียแล้ว ต้องสงบอย่างเดียวค่ะ






ตอนไปถึงวัดก็สังเกตเห็นว่ารถจอดเยอะมากเลย ทุกคนใส่ชุดขาวกันหมด เราก็เดินไปลงทะเบียนค่ะ เพื่อเข้าห้องพัก ได้พักที่อาคารสมาธิ 1 และ 2 ห้องละ 3 คนแบบนอนเรียง ในห้องไม่มีอะไรเลย นอกจากเสื่อ หมอนและผ้าห่มแบบผ้าขนหนูดีดีของเรานี่แหละค่ะ คนละผืน ส่วนไฟมีแค่ตรงทางเดินเท่านั้น แว่บแรก นึกขึ้นมาทันทีเลยว่า โอ้!!! มีที่ดีดีอย่างนี้ให้เราฝึกแบบไม่ต้องไปอินเดียด้วยเหรอนี่ ในที่สุดก็ค้นพบ เพราะสภาพแบบนี้คุ้นๆ เหมือนตอนเราไปอินเดีย 3 เดือนเมื่อปลายปี 2550 (link http://www.watpahsunan.org/ ) หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนเป็นคนชุดขาว เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับสิ่งที่บริสุทธิ์ต่อไป ฮิฮิ เริ่มจากการดื่มน้ำปานะ ดีกว่า...

น้ำปานะ จากคำบอกเล่าของอุบาสิกาที่นี่ อธิบายว่าคือน้ำทุกอย่างที่ไม่ได้มีส่วนผลมของเมล็ดอ่ะค่ะ เช่น โอวัลตินไม่ได้ทำนองนี้ค่ะ ส่วนโกโก้ กาแฟ เป็นการคั้นกรองออกมาทานได้ค่ะ ส่วนน้ำปานะอื่นที่มีที่นี่ก็เช่น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะตูม น้ำขิง น้ำเก็กฮวย อย่างไรก็ตาม ดื่มที่ไม่ใช่ปานะก็ได้น่ะค่ะ ถ้าไม่ได้ถือศีล 8 ท่านเจ้าอาวาส ,พระอาจารย์มิตสุโอะ, ไม่ได้บังคับไว้ ยังเห็นบางคนเอามาม่าไปกินหลังเที่ยงเลยค่ะ ในกรณีที่ไม่ไหวจริงๆ อย่างละเอียดตามนี้น่ะค่ะ
http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=sombita&board=1&id=29&c=1&order=numtopic


หลังจากนั้นก็ได้เวลาประมาณ 5:30pm ได้เวลาเตรียมตัวทำวัตรเย็น ก็เริ่มจาำกการเดินจงกรมที่ศูนย์เยาวชน ประมาณ 3 รอบ ดูจากนาฬิกาก็ใช้เวลาประมาณรอบละ 15 นาที แต่ขอบอกความจริงว่า วันแรกอ่ะเดินตามเค้าไปไม่รู้หลักเลยซะจริงๆ แต่พอจับสังเกต คนนึงในช่วงที่พักได้ พบว่า เค้าจะเดินแบบ ซ้ายยก ปลายเท้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ซ้ายปลายเืท้าวางในขณะเดียวกับขวาส้นยก ซ้ายวางทั้งเท้าพร้อมกับขวายก ปลายเท้าเชิดขึ้นเล็กน้อย...แล้วสลับกันไป เอ๊ะ รู้สึกพอลองเองก็เป็นจังหวะดีน่ะ ได้ผลดี แต่ควรจะกำหนดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ด้วย คราวนี้เลยจังหวะตีกันยุ่ง เพราะจังหวะเท้่ากับลมหายใจไม่พร้อมกัน ลองอีกก็ไม่ได้อีก เลยคราวนี้เอาแค่นี้ก่อนกำหนดที่ลมหายใจก่อน ก็สงบได้สมาธิเหมือนกัน แต่คาดว่าถ้าเป็นคนที่มีความสามารถแบบ Multifunction จะทำได้ดีน่ะค่ะ เช่น พวกนักบินอ่ะ

หลังจากนั้นก็นั่งในศูนย์เยาวชน สวดตามหนังสือของหลองพ่อชา และตามการนำ้ของพระค่ะ นั่งกันเยอะค่ะเกือบเต็ม แต่ไม่เยอะเท่าวันสิ้นปีค่ะ พอจบบทสวดทำวัตรเย็น ท่านพระสงฆ์, พระอาจารย์หนูพรม, ก็นำ้สวดบทอื่นๆ ต่อไป มีบทที่จำได้ก็คือแผ่เมตตาด้วย จนประมาณ 1 ชม. ถัดมาท่านก็ให้นั่งสมาธิ พร้อมกับฟังเทศน์ อันนี้คุณแม่เล่าว่าสมัยก่อนประมาณ 3 ปีที่แล้ว ท่านมักจะให้นั่งสมาธิเงียบๆ อย่างเดียว แต่ตอนนี้ เปลี่ยนเป็นแบบมีฟังเทศน์ หรือเน้นประสบการณ์ของพระสงฆ์แต่ละรูป ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนใหม่ๆ อย่างเช่นเรา มากันเยอะขึ้น อีกอย่างที่สังเกตเห็นได้คือ เด็กช่วงต่อตั้งแต่ GenX จนถึง millenium เนี่ยเยอะกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ไม่รู้ว่า กลุ่มนี้เข้าถึงการอิ่มตัวของวัตถุนิยมได้เร็วและง่ายกว่าแต่ก่อน ตาม Trend ของยุค Internet หรือเปล่า
แต่สำหรับประสบการณ์ของคนที่นั่งเฉยๆ 2 ชม สำหรับคนอย่างเราเนี่ย บิดแล้วบิดอีกเป็นร้อยรอบได้เมิ้ง แต่มีจังหวะนึงที่พระอาจารย์หนูพรม เล่าให้ฟังเรื่องพระฝรั่งที่มาบวชว่านั่งสมาธิไม่เป็น นั่งขัดสมาธิก็เข่าชี้ฟ้า บางทีท่านอาจจะอยากบอกเราเป็นนัยๆก็ได้น่ะ เพราะตอนนั้นเข่าชี้ฟ้าอยู่พอดีเลย :[ พอได้เวลาประมาณ 3 ทุ่มก็เสร็จกิจกรรมเย็นค่ะ แยกย้ายกันไปเข้าที่พัก ระหว่างทางพัชรก็เล่าให้ฟังถึงตอนที่บวชว่า พระต้องเดินกับกุฎิลำพัง และมืดมาก ไม่มีไฟตรงบริเวณกุฏิแน่นอน ห่างแค่ประมาณ 10 เมตรถึงกับมองไม่เห็นกัน แต่ยอมรับว่าสามารถฝึกสมาธิได้ผลจริงๆ จากบรรยากาศที่เงียบแบบวิ้งๆ... แต่ถ้าความรู้สึกไม่เงียบเนี๊ยะน่ากลัวกว่าน่ะ อย่างเช่นที่พระอาจารย์หนูพรมเล่าให้ฟัง คือ บางสถานที่ ท่านไม่สามารถหลับได้เพราะมีความรู้สึกถึงความแปลกๆ อยู่ ตามความหมายของท่านก็คือ อาจยังมีวิญญาณที่เึค้าวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นค่ะ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ เป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้นน่ะค่ะ

สวัสดีตอนเช้าวันสิ้นปีที่ 31 ธันวาคม

ก่อนเช้าตรู่ คือประมาณ ตี 3 ของวันนี้ ได้ยินเสียงระฆังแล้วล่ะ แต่ตายังปิดอยู่เลย ไม่มีแสงอื่นนอกจากดาว เข้ามาทางหน้าต่างเลยสักนิด อีก 2 คนก็ยังหลับด้วยอ่ะ เอ๊ะแต่ว่าเมื่อวานพระอาจารย์บอกว่าโปรแกรมทำวัตรเช้าจะเริ่มประมาณ ตี 2:45 นี่นา อือม แต่นอนต่อดีกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย พอตอนตี 4 ได้ยินเสียงระฆัง อีก 2 คนเลยขยับตัว เราเลยรู้สึกได้ว่า จุดเริ่มต้นก็คงต้องอาศัยพลังจากเพื่อนๆ อย่างงี้นี่แหละ :D ถึงจะตื่นได้
เข้ามานั่งในธรรมศาลา แล้วก็เริ่มบทสวดทำวัตรเช้า ซึ่งพระนำ้สวด สวดได้ดีมากค่ะ รู้สึกเพราะและบทสวดก็แปลความหมายให้คนไทยอย่างเราเข้าใจในหลักธรรมมากขึ้น ไม่ใช่ท่องแบบนกแก้วอีกต่อไป (จริงๆก็หนังสือสวดเล่มเดียวกับเมื่อวาน แต่เพิ่งรู้สึกวันนี้แหะ) ต่อด้วยการนั่งสมาธิ แต่รู้สึกหนาวๆ และเป็นเวลาตี 5 ครึ่งแล้ว เลยขออนุญาติกราบลาออกไปก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อรอเวลาน้ำปานะ อีกสักแก้ว สองแก้วขออนุญาติพัชรนำรูปมา post ค่ะ เนื่องจากบรรยากาศสดชื่นมากๆ ในช่วงเวลาของการเดินจงกรม



จากรูปนี้คือโปรแกรมเพิ่มเติมที่พระอาจารย์หนูพรมพาเดินจงกรมรอบๆ บริเวณวัด ซึ่งช่วงนี้ก้อได้ทราบว่า การบิณฑบาตรของพระสงฆ์ที่วัดป่าสุนันทฯ นี้ต้องมีความอดทนมากๆ เลย เพราะการเดินบนถนนดินลูกรังตลอดระยะทาง 3 กิโลเมตรเนี่ยไม่ธรรมดาเลย เราลองเดินเหยียบไป 2 ก้าวก็ต้องขอบคุณที่โลกนี้สร้างรองเท้ามาให้เลยน่ะเนี่ยะ แต่การเดินดว้ยเท้าเปล่าจะเป็นการบังคับให้พระกำหนดจิตอยู่ที่เท้าทุกย่างก้าวได้อย่างอัตโนมัติเลย แต่ที่น่ายกย่องนับถือเลยเนี้ยะ ก็คือว่า พระอาจารย์ที่นำ้หน้าท่านเดินได้เร็วมากๆ มากกว่าฆราวาสอย่างเรากับรองเท้าน้อยเสียอีก

ช่วงเวลาน้ำปานะเช้าคือ 6am-8am ซึ่งที่จริงทางวัดเค้าก็ต้มน้ำร้อนให้ตลอดน่ะค่ะ ตลอดเวลาจริงๆ อาจเห็นว่าคนอาจจะทนไม่ค่อยไหวอ่ะ และบางช่วงเวลามีไอติมกะทิด้วย ช่วงนี้ก็สังเกตได้อย่างคือ มีคนเข้ามาลงทะเบียนเยอะแยะเลยค่ะ สงสัยเพราะเป็นวันสิ้นปี แต่ก้อไม่ได้แปลกใจอะไรมาก เพราะในช่วงนี้เราจะจดจ่อกับอาหารมื้อเช้าตอน 8โมงมากกว่า หลังจากที่พระทุกรูปได้ตักอาหารใส่บาตรแล้ว หลังจากนั้นคนก็เริ่มต่อแถวกันแบบบุฟเฟต์กะลามัง กำลังสงสัยว่าทำไมท่านเจ้าอาวาส ถึงเลือกใช้กาละมังแทนจาน หรือว่าจะกลัวคนทนไม่ได้ทั้งวันเลยต้องตักเยอะๆเต็มกะลามัง หรืออีกทีก็อาจจะให้เรารู้สึกว่าถ้าเราตักเยอะเพราะความหิว พอกินไปสักพักแล้วเหลือเยอะแยะแต่กินไม่ไหวแล้ว อาจทำให้เราคิดได้ว่า ถึงแม้จะหิวแค่ไหน แต่ไม่ใช่ว่าร่างกายจะรับได้มากขึ้น แปรตามซะเมื่อไหร่ เหมือนกับทำอะไรให้พอตัวทำนองนี้เมิ้งค่ะ เมื่อทานเสร็จก็ต่อคิวกันล้างจาน เป็นระเบียบมาก สงสัยท่านเจ้าอาวาสปรับการทำงานแบบ Kaizen ในวัดล่ะ

ถัดมาก็เป็นช่วงเวลาทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน อานาปานสติ 11am 1pm และ 3pm รอบละ 1 ชม ซึ่งแต่ละรอบอาจฝึกเอง อาจพัก หรือฟังเทศน์ไปด้วยก็ได้ หรืออาจฟังประสบการณ์จากผู้ที่ฝึกมาก่อนหน้า ถัดมาก็เวลาน้ำปานะ 4-6pm

พอถึงช่วงเย็นก็เดินมาที่ศูนย์เยาวชน ระหว่างทางพัชรก็พาเดินมาที่อุโบสถกลางแจ้ง ซึ่งเป็นสไตล์ญี่ปุ่นรวมทั้งจัดสวนแบบญี่ปุ่นด้วย และมีรูปปั้นนูนต่ำ รูปพระสงฆ์ที่คล้ายๆ การ์ตูนพระญี่ปุ่น คือตาเส้นเดียว ยิ้ม และหัวโต ตัวเล็ก ซึ่งเหมือนรูปในหนังสือของพระอาจารย์ที่บางท่านอาจได้ศึกษามาแล้ว จึงรู้สึกได้ว่าท่านมีสัญลักษณ์จริงๆ รวมกับที่ได้ยินพระรูปอื่นๆ ในวัดที่ท่านได้พูดถึงพระอาจารย์ว่าท่านใจดีมาก ยิ้มตลอด และให้โอกาสพระใหม่ๆ เสมอ ทำอะไรยังไม่ได้ ท่านก็ยิ้มและบอกว่าทำได้ดีแล้วเสมอ :D ที่นี่บรรยากาศเงียบสงบมาก สามารถทำสมาธิได้ดีทีเดียว เมื่อมาถึงศูนย์เยาวชน ก็ทำกิจกรรมเหมือนเมื่อวาน แต่ที่มาสังเกตอีกทีคือคนล้นมากๆ ตั้ง 500 กว่าคน จึงรู้ว่าคนส่วนใหญ่นิยมมา Countdown ที่วัดช่วง 31 -1 จริงๆ อย่างที่คิดไว้ สิ่งที่พิเศษอีกอย่างของวันนี้คือ ท่านเจ้าอาวาสจะเทศน์ช่วง 3 ทุ่มและหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไปถึงเช้า และเราก็ได้เห็นว่ามีคนที่สามารถอดทนนั่งได้ถึงเช้าตั้ง 40% แหน่ะ คราวหน้าเราค่อยขอลองบ้่างแล้วกัน วันนี้ต้องขอเข้าที่พักอย่างสงบหลังจากสวดมนต์แล้วตอน Count down แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าการนั่งนานๆ ของเราถือว่าพัฒนาขึ้นอย่างมากทีเดียว คือบิดน้อยลง แถมนั่งได้นานขึ้นตั้งแต่ 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืนกว่าๆ คาดว่าวันพรุ่งนี้จะทำได้ดีกว่าเดิมแน่นอน

สวัสดีเช้าปีใหม่ 2552

ตื่นมารู้สึกสดชื่นมากๆ (ตื่นตั้ง 8โมง เนื่องจากคนที่อยู่ถึงเช้าก็ทำวัตรเช้าเสร็จเลยจึงค่อยกลับมานอน)แต่รู้สึกอิ่มใจมากที่ได้มีโอกาสดีในการเิริ่มต้นปีด้วยการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมเช่นนี้ จนคาดว่าปีอื่นๆ จะต้องมาอีกแน่นอนถ้ามีโอกาส แล้วก็สังเกตอีกแล้วว่าคนเยอะมากๆ ที่มาทำบุญปีใหม่วันที่ 1 จนกระทั่ง พระอาจารย์บอกให้คนไปฟังเทศน์ก่อนที่ธรรมศาลาประมาณเกือบชั่วโมง เพราะจริงๆ แล้วคาดว่าอาจต้องประกอบอาหารเพิ่มจากจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ เพราะคนที่มาวัด พระท่านก็ห้ามไม่ได้ วัดก็จำเป็นจะต้องให้อาหารแก่ผู้คนที่มาทำบุญ พยายามจะคิดวิธีทางแก้ของวัด ก็เป็นความยากอีกเพราะเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ ไม่สามารถบังคับจำนวนคนได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่เรื่องที่พักก็ยังพอจะจัดการได้เพราะเต็มก็คือเต็ม ไม่สามารถรับได้เพิ่ม :[

สำหรับในช่วงกิจกรรมกลางวัน ก็รู้สึกได้ถึงการทำสมาธิที่มีประสิทธิผลมากขึ้น คือ สามารถนั่งลืมตาสมาธิได้ซึ่งเริ่มต้นได้ง่ายกว่าเทียบกับการเริ่มจากการหลับตาเลย (เฉพาะบุคคลน่ะค่ะ) เพราะสังเกตว่าการนั่งสมาธิก็เหมือนกับการ Start Engine ต้องมีเริ่มใช้แรงช่วงแรกเยอะมากเพื่อเอาชนะความฝืด เ่ช่นเดียวกัน เมื่อลืมตา เราจะสามารถสังเกตตัวเองได้ง่ายในแง่ของการที่ตัวเรามีสมาธิหรือไม่ เมื่อคนอื่นเดินผ่านแล้ว ยังสังเกตคนอื่นอยู่หรือไม่ แล้วก็นั่งท่าไหนก็ทำสมาธิได้เหมือนกันขอให้ในสงบพอ เมื่อเราลืมตาอยู่เราไม่เห็นคนอื่นแล้ว นั่นแหละเริ่มหลับตาได้คราวนี้นั่งไ้ด้อย่างนาน ทั้งหมดนี้จริงๆ ส่วนนึงก็มาจากหนังสือที่ทางวัดแจกสำหรับผู้มาปฏิบัติฯ ครั้งแรกนี่แหละค่ะ ซึ่งอธิบายอะไรต่างๆ เพื่อช่วยให้เราปฏิบัติฯไ้ด้เห็นผลขึ้น และเมื่อหยุดทำสมาธิ จะมานั่งใหม่ก็เหมือนเดิมต้องจุดไฟสตาร์ทนี่แหละสำคัญ
ส่วนการเดินจงกรมก็เริ่มเดินช้าลง โดยเดินจังหวะเดียวกับที่เราหายใจเนี่ยแหละจะช่วยได้มาก นอกจากบางคนแยกจังหวะได้แล้ว เนี่ยแหละ ขั้นเทพฯ เลย แต่อย่างที่เปิ้ลว่าไว้คือ เมื่อไหร่คนเริ่มเิดินเยอะและไม่เดินไปทางเดียวกัน ยังไงเราก็ต้องเดินหลบอยู่ดีก็จะเป็นการยากมากสำหรับการสร้างสมาธิ เพราะตัดภายนอกไม่ได้นั่นเอง

กิจกรรมช่วงเย็นของวันที่ 1 พระอาจารย์หนูพรมก็บอกว่า อยากจะให้ Bonus โดยการเลิกเร็วกว่าเวลา เพราะเห็นบางคนตั้งใจนั่งกันถึงเช้าตั้งแต่เมื่อวาน และ่ส่วนตัวเราก็จะได้เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับมาสู่ทางโลกเหมือนเดิมล่ะ
อย่างนึงในช่วงปฏิบัติธรรมที่ได้ตอบคำถามที่สงสัยบางอย่าง เช่นว่า ถ้าปฏิบัติได้เองแล้ว เราก็หาที่สงบปฏิบัติเองซะเลย ก็ไม่ต้องมาเบียดเบียนกินข้าวที่วัดอีกต่อไป แต่คำตอบที่ได้จากคนอื่นๆ ก็คือ สิ่งที่ทำให้หลายคนมาวัด มาสวดฯ มาปฏิบัติกันเนี่ยะก็เพราะว่าพลังจิต พลังใจที่มีคนมาภาวนาร่วมกันเนี่ยแหละ ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาได้ สำหรับคนที่เกิดมาบนโลกเนี่ยถือว่าโชคดีมากถ้าได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นพุทธมามกะ แต่ก็จะถือว่าโชคดีมากขึ้นถ้า่ได้เข้าถึง เข้าใจ ร่วมสร้างพลังให้เกิดขึ้นได้อย่างนี้ หรือว่าอาจเป็นพลังแบบเดียวกันนี้ที่ทำให้เรารู้สึกได้ครั้งที่ไปสักการะพระพุทธเจ้าถึงพุทธคยาก็ไม่รู้ จะจริงหรือไม่ที่สาเหตุที่ทำให้คนแต่ละคนสนใจธรรมะเนี่ยะถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเราเกิด ถ้าจะลองนึกเล่นๆ ดูประสบการณ์ของบางคนก็ดูแปลก เหมือนมีสิ่งดลใจให้ประสบ ทำให้เกิด บางสิ่งที่เราได้รับจากบุคคลผู้ไม่รู้จักเหมือนกับว่าจะบอกเป็นนัยๆ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ ก็ยังคงต้องหาคำตอบต่อไป คำตอบที่พระพุทธเจ้ารู้แจ้งเห็นจริงตั้งแต่ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม blog นี้ไม่ได้เขียนเพื่อทำให้เข้าใจไขว้เขวกับสิ่งที่ทุกท่านที่อ่านได้เข้าใจอยู่แล้ว เพราะเป็นการแสดงสิ่งที่สังเกต และรู้สึกเป็นการส่วนตัว เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องทั้งต่อตนเอง และผู้อื่นที่คิดเห็นแบบเดียวกันนี้ เพราะการเกิดเป็นคน มีกรรมต้องที่ลืมง่าย ยิ่งสังขารแก่ตัวลง ก้อยิ่งลืมง่ายเข้าไปอีก จึงก่ะว่าจะกลับมาอ่านใหม่หลายๆ รอบ ถ้าต่อไปยังฝึกสมาธิ เดินจงกรมไม่สำเร็จ ดังนั้น ถ้าข้อความบางอย่าง ความคิดเห็นบางประการ ไม่ตรงกับใจ หรือความคิดเห็นของใคร ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ค่ะ

-------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากที่ได้ไปบ้านอารีย์ ฟังธรรมะจากหลวงพ่อมิตซูโอะ คเวสโก วันที่ 23 ธันวา กับน้องภา และเ้ด้ง มาแล้ว รู้สึกว่าอาจจะจำกัดด้วยเวลา พระอาจารย์ได้สอนให้ไม่ยึดติด ปล่อยวางสำหรับคนที่ยังมีความโกรธได้ง่ายอยู่ ก็เลยตัดสินใจแน่นอนแล้วล่ะว่า ปีใหม่นี้เราจะต้อนรับปี 2552 ด้วยการไปฟังธรรมะ 3 วันที่ วัดสุนันทวนาราม ของพระอาจารย์นี่แหละ
Ball


------------------------------------------------------------------------------------------------


หลังจากที่ได้เจอกันวันที่ 13 กันยายน 2551 @Sizler Royal Garden Plaza ได้ plan กันไว้คร่าวๆ ว่าจะเจอกันในอีก 3 เดือนข้างหน้า แถวๆ ซอยอารีย์ ความตั้งใจแรกอยากชวนไปนั่งที่ร้านกาแฟวาวี (homestyle surroundings)

http://picasaweb.google.com/kpatchara/WaweeNov08#5268597454192164642
http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=18086
http://www.wawee.co.th/beta-3/th/about/shopDetail_ww_inc.php?id=0017&page=

แล้วอ๋อ (กุลฤดี) ก็นึกถึงบ้านอารีย์ขึ้นมาได้ เกือบทุกคนสนใจธรรมะกันอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจนัดกันที่นี่คราวหน้าจ๊ะ
http://www.baanaree.net/about.php
------------------------------------------------------------------------------------------------
17 สิงหาคม 2551

นี่คือ คำสนทนาของผู้สนใจธรรมะในกลุ่มเด็กศึกษานาีีรี รุ่นที่จบ ม. 6 ปี 2538 ค่ะ น่าสนใจเลยเก็บไว้ใน Blog นี้เผื่อเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อไป


2008/8/14 Hansa
งั้นขอรายละเอียดการปฏิบัติธรรมที่ กาญจนบุรีด้วยนะจ๊ะเผื่อไปได้ขอไปด้วยนะ สุรีย์ก็สนใจ ที่เราไปกลับมาเราไปที่ ธรรมสถานว่องวานิช
ลองดูรายละเอียดนี้นะ
http://www.blogger.com/exchweb/bin/redir.asp?URL=http://www.britishdispensary.com/Company_profile/news_th.asp?ID=60
ซึ่งเป็นสถานที่ของบริษัทอังกฤษตรางู อยู่ที่สมุทรปราการเอง ไปง่าย สะดวก สบายดี คนที่ไปก็ค่อนข้างดีนะ เจ้าหน้าที่ก็ดีมากๆ
คอร์สนี้ค่อนข้างสบาย เมื่อยก็เปลี่ยนท่า พระอาจารย์ก็เทศน์ตลกดีเหมือน พระอาจารย์สมปอง อนุโมทนาล่วงหน้าสำหรับเพื่อนๆที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนะจ๊ะ
พิ้ง


Sent: Friday, August 15, 2008 8:18 AM
หวัดดีจ้าเพื่อนๆ
ดีจังได้ update ว่าใครสนใจเรื่องอะไรบ้าง
หนิงอย่าเครียดน่ะ จะเป็น Dr. อยู่แล้วต้องอารมณ์ดีเข้าไว้
อือม พิ้ง แล้วก็เราเห็นด้วยก่ะหนิงน่ะ คนเป็นมะเร็งแล้วหายก็มีเยอะอ่ะ ถ้าสามารถทำให้ใจสงบและใจเย็นได้มากที่สุดก็จะช่วยได้เยอะน่ะจ๊ะ อย่ากังวลไปเลยเน๊อะ
เราส่งข้อมูลที่ฝึกปฏิบัติธรรมะ ที่กาญจนบุรี ตาม link น่ะ
ถ้าใครสนใจไปด้วยกันเลยไม๊ ปลายปีนี้ 3 วัน จ้า:D
เจอกันวันที่ 13 น้า
Ball

หวัดดีจ้ะ
บอล ขอบคุณสำหรับ เว็บนะแต่ยังเข้าไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวลองอีกที อยากไปกาญจนบุรี เปลี่ยนบรรยากาศมั่ง
ที่เราไปปฏิบัตินั้น เราคิดว่าเป็นสายเดียวกับคุณแม่สิริ เพราะมีรูปปั้นคุณแม่สิริด้วย
แต่ว่างวดนี้เค้าไม่เคร่งมากจ้ะ คือว่า ง่วงก็สัปหงกได้, หิวน้ำ, ปวดห้องน้ำก็ลุกได้ เค้าเน้นสอนพวกเรื่อง
กฎแห่งกรรม, การแผ่เมตตา, การอโหสิกรรม แล้วหนทางไปสู่นิพพาน
อ้อ แล้วอีกเรื่องคือว่า เค้าเน้นให้ทำสังฆทาน คือว่าถ้าพูดตามตรงเราก็ไม่ค่อยชอบเพราะตอนแรกรู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมชอบเน้นให้ทำบุญจัง อยากได้เงินหรือเปล่า
แต่ถ้าอ่านหนังสือเค้าแล้ว เค้าบอกว่าการจะไปเป็นอริยบุคคลหรือการหลุดพ้นได้ต้องมี ทาน ศีล ภาวนา
การมีทาน ก็เพื่อลด จาคะ ความเห็นแก่ตัว
ศีลก็คือการตั้งใจทำดี ละเว้นชั่ว อย่างมีสติ เช่นอยากตบยุง ถ้าเรามีศีลตลอดเวลาก็ไม่อยากทำ
การทำภาวนาก็คือ การฝึกให้สงบเพื่อเป็นแรงส่งให้เกิดปัญญา คือว่าถ้าเราจิตใจวุ่นวายมัวแต่โกรธ โดยไม่พิจราณาโทษของความโกรธ ก็อาจทำให้เราขาดสติ และ
ศีลขาดได้
แต่หนังสือเค้ามีตารางบุญด้วยนะว่าทำบุญให้ใครคิดเป็นกี่เท่า ตอนแรกเราก็เอ๊ะ แนวธรรมกายเปล่าว้า แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ สิ่งที่เค้าบอกก็คือว่าสมมติเรามีเงิน 100 บาท
เราเอาเงินนี้ให้คนบ้า หรือ คนจรจัดกิน ข้าว กับ เอาเงิน 100 บาท บริจาคให้วัด หรือ โรงพยาบาล อันไหนจะได้ประโยชน์มากกว่า อะไรแบบนี้
ก็พยายามเก็บข้อดีมาและถือว่าไปพักผ่อนจ้ะ มันก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแหละ แต่ก็โอเค
แต่คุณแม่สิรินี้ให้พิจารณา เจริญสติ แทบ 24 ชม. เลยใช่ป่ะ เราก็อยาลองทำดูนะว่าเราจะทำได้หรือเปล่า
อ้อผลบุญแห่งการไปปฎิบัติเมื่อวาน จับลูกน้องขโมยของได้ ไปสถานีตำรวจกว่าจะได้นอนก็เกือบ ตี4 ไล่จับตั้งแต่5 ทุ่ม ของกลางไม่ได้คืน ทำได้มากสุดก็คือให้เค้าออก
แม่เราพูดกับเค้าว่าให้อโหสิกรรม แล้วแม่เราก็ขออโหสิกรรมกับเค้าแหละ เค้าก็ขอโทษอะไรประมาณนี้ ก็มีคดีตั้งแต่ ฆ่าคนตาย ยาเสพติด แต่ระหว่างที่ทำงานด้วยเป็น
เด็กดีมาก พูดจาเพราะ ทำงานรู้เรื่อง ช่วยเหลือคนอื่นทุกอย่าง แต่เพราะหลงผิดเนอะ เลยเป็นแบบนี้
เม้าท์ยาวแล้ว เผื่อเพื่อนๆมีความคิดเห็นอะไรก็แลกเปลี่ยนคุยกันได้เลยจ้ะ
เจอกันวันที่ 13 ก.ย. เอาเป็นร้านเดิมแถวพระราม 3 นะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก แต่จำชื่อร้านไม่ได้อ่ะ
พิ้ง




อิอิ เพิ่งเข้ามาเช็กเมล์ โอ้โห เรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะไปหมดเลย
ก่อนอื่นอนุโมทนากับพิ้งที่ไปปฏิบัติธรรมมาด้วยนะจ๊ะ และกับบอลและสุรีย์ที่กำลังจะไปปฏิบัติธรรมกันด้วย ถ้าไปเป็นหมู่คณะ ชาติหน้าเกิดมาจะได้มาเจอกันอีก ฮ่าฮ่า อยากเจอกันอีกเปล่า
ที่พิ้งไปปฏิบัตินี่เป็นแบบคุณแม่สิริหรือเปล่า
และด้วยผลบุญนี้ก็คงจะบันดาลให้อะไรต่ออะไรเป็นไปในทางที่ดีขึ้น สมปรารถนา คุณพ่อพี่เอหายเร็วๆ นะจ๊ะ
ส่วนเรื่องนัดก็วันที่ 13 กันยาได้จ้า

อ๋อ



เรื่องธรรมะต่อจ้า...
อ๋อ เราก็ฟังจาก CD น่ะที่หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโชตอบคำถามลูกศิษย์เกี่ยวกับวิธีการเจริญสติน่ะ ว่าให้รู้ตัวเองแยกกับจิตตัวเอง แต่ไม่มีการบังคับจิต ถ้าจะโกรธก็โกรธ แต่ตัวจะรู้สึกว่าจิตกำลังโกรธอยู่ อะไรยังงี้แหละ ในความคิดของเราถ้าเรารู้จิตถึงระดับนี้เราก็คงจะระงับอารมณ์ตัวเองไปได้ในที่สุดแหละเน้อ แล้วมันคงเหมือนกับมองเห็นอะไรเต้นๆ โกรธอยู่ในตัวเรา สักพักก็สงบไปเอง อันนี้ตามที่คิดตามและลองพยายามฝึกด้วยตัวเองอยู่น่ะ แต่พอโกรธทีไร ยังไม่เห็นเห็นจิตสักที ฮ่า ฮ่า
เราได้มีโอกาสดีครั้งนึงที่ได้ไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาคือ พุทธคยา ประเทศอินเดียล่ะ เลยทำให้รู้สึกถึงระดับที่ไม่เคยเชื่อเลยว่าจะมีพระสงฆ์ที่น่านับถือมากนัก จากข่าวร้ายๆ ก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเราเดินทางไปเองคนเดียว แล้วก็บังเอิญไปเจอกับคณะจากเมืองไทยที่จะมานั่งวิปัสสนากันใต้ต้นโพธิ์ เค้าลางานกันมาตั้ง 10 วันแหน่ะ ทั้งหมดนี้มาโดยคณะทัวร์ แล้วเราก็ไปเกาะ เอ้ย! ไปทำความรู้จักกับเค้า เค้าก็ชวนเราไปนั่งสวดมนต์ เวียนเทียนด้วยกัน เค้านั่งกันตั้งแต่ 6โมงจนถึง ตี 3 ของอีกวันแหน่ แต่เราต้องกลับรถไฟตอน 4 ทุ่มก็เลยมีโอกาสแค่นิดเดียว แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราเชื่อว่า พระสงฆ์ที่บวช มีหลายระดับมาก และระดับที่คนนับถือกันเยอะเยอะเนี่ยะ พอเราได้มีโอกาสเจอท่าน และได้สวดมนต์ใต้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้น่ะ โดยท่านนำสวดให้ ขนาดเรานั่งสวดเป็นครั้งแรกน่ะ แต่มันรู้สึกนั่งไปได้เรื่อยๆ ไม่เมื่อย มียุงกัดน่ะ แต่ก็ยังเฉยๆ หัวหน้าทัวร์เค้าก็ใจดีน่ะ เห็นเราด้วยก็แบ่งดอกบัวให้เวียนเทียน แล้วก็ไม่ได้โฆษณาบริษัทอีกตะหาก ใจดีและในบุญมากๆ
ที่เราเห็นว่ามีคุณค่ามากๆ กับการที่ได้ไปคือ พอครั้งแรกที่ไปถึงเลยน่ะ มีความรู้สึกว่ามันอิ่มบุญมาก เนื่องจากทุกคนที่มาที่นี่ มาด้วยพลังจิตที่มุ่งมั่นว่าจะมาสักการะมากมาก เลยพลอยทำให้สถานที่นี้มีพลังมากๆ ไม่รู้จริงเปล่า เพราะของอย่างนี้เค้าบอกว่ามันพิสูจน์ไม่ได้ แต่จะรู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
แต่ยังไงก็ตามน่ะ ตั้งแต่ไปคราวนั้นทำให้เราสนใจเรื่องพระพุทธศาสนามากขึ้นเยอะเลย เห็นหนังสือฯ แล้วต้องลองอ่านดู ว่าความคิดของคนที่ศึกษาธรรมะเยอะๆ เป็นยังไง ก็พบหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ของ ทันตแพทย์สม สุจีรา ซึ่งอธิบายอะไรตั้งหลายอย่างที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน แล้วตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ไอน์สไตน์พบ แต่ยังพบไม่ทั้งหมด ในช่วงท้ายของชีวิต ได้เสียชีวิตไปซะก่อน เลยยังหาคำตอบสุดท้ายไม่ได้ แต่กลับเป็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเห็นแล้วตั้งแต่ 2500 กว่าปีก่อน น่าสนใจมาก
เล่าเสียยาว แต่เรายังไม่เคยมีโอกาสปฏิบัติธรรม จิงจังก่ะเค้าซะที เจองานยุ่งๆ ตั้งแต่ มค ที่ผ่านมาแน่ะ เพิ่งสะสางได้ต้น สค นี้เองล่ะ
อือม แล้วก็ เรื่องเกี่ยวกับมะเร็งน่ะจ๊ะ พิ้ง เมื่อ 2 วันก่อนเราได้ข่าวว่าลุงของเพื่อนสนิทคนนึงเป็นมะเร็ง แล้วก็ระยะลุกลามเลย คือเจอที่ก้านสมอง ทำให้ตอนนี้เกิดอาการชาอ่ะ เราเลยได้สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษช่วงนี้ เผื่อจะช่วยเรื่องข้อมูลได้บ้างจ๊ะ คือเราก็เลยไปเยี่ยมลุงคนนี้แล้วก็นั่งคุยกับแกว่า มีตัวอย่างของพ่อเพื่อนอีกคนเป็นระยะลุกลามเหมือนกัน แต่เค้าอยู่เป็นครอบครัวใหญ่มีลูกหลานเต็มบ้าน คือ อบอุ่นอ่ะ แล้วก็ลูกพาไปศึกษาเรื่องธรรมชาติบำบัดที่บัลวี http://www.blogger.com/exchweb/bin/redir.asp?URL=http://www.balavi.com/ ซึ่งเป็นแหล่งที่รักษาตามอาการโดยใช้วิตะมินเข้าช่วยแต่ดูสภาพอาการผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่เรามีผลเจาะเลือด ผล x-ray ด้วยล่ะ จึงจัดวิตะมินให้ รวมทั้งแนะนำอาหารที่เหมาะกับการรักษาแต่ละอาการ ซึ่งผลที่ได้คือการคาดหวังว่าก้อนเนื้อร้ายนั้นจะไม่โตขึ้น ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลดี แล้วพ่อเพื่อนคนนั้นที่หมอจากโรงพยาบาลนึงบอกว่าจะอยู่ได้ 2 เดือน แต่ตอนนี้อยู่ได้เป็น 2 ปีแล้วน่ะ แต่เค้าต้องเปลี่ยนเยอะทีเดียวน่ะ เค้าเคยเป็นบอร์ดอยู่บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เค้าต้องลาออกจากทุกที่ มาอยู่บ้าน อยู่กับลูกหลาน แล้วก็ออกกำลังกายเท่าที่พอจะทำได้ เราว่า มะเร็งต้องอาศัยการบำบัดทั้งทางด้านจิตใจ และอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญสุดเลย ซึ่งเราก็เห็นว่าได้ผลดีสำหรับเรื่องธรรมชาติบำบัดนี้
ลุงของเพื่อนคนนี้พอฟังก็เลยสนใจอ่ะ แล้วก็ดูอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยน่ะ ตอนนี้เพื่อนเราเลยกำลังจะนัดคุยกับหมอวันอังคารนี้จ๊ะ
ลองดูที่ Website ก่อนก็ได้น่ะจ๊ะ เผื่อเป็นอีกแนวทางนึงที่ช่วยได้
จบข่าว :D
ทำงานต่อก่อนน่ะจ๊ะ
คุยกันอีก บายจ๊ะ
Ball