Sunday, May 5, 2013

ประสบการณ์เข้า USA ทางรถไฟ Amtrak Cascades

การตัดสินใจเข้า USA ทางภาคพื้นจากประเทศ Canada ครั้งนี้ ด้วยหลายเหตุผล หลักๆ คือ อยากเห็นว่าเข้ายากแค่ไหน จะเหมือนเวลาประเทศเพื่อนบ้านเข้าประเทศเราง่ายๆ หรือไม่ ,ตม.จะเหมือนที่สนามบินหรือไม่ รวมทั้งมีความยากตรงที่ ถ้ากระบวนการ ตม.ช้า ไม่ทันเวลารถไฟออก เค้าจะทำไงกับเรา (อีกนัยหนึ่ง เราจะทำยังไงกับทริปที่เหลือ O_O), และอยากลอง WiFi ในรถไฟ Amtrak ค่ะ :}
อีกส่วนจากประสบการณ์ราวปี ค.ศ. 2006 ที่เคยโดน จนท. USA เรียกระหว่างขับรถอยู่ช่วงค่ำในรัฐ New Mexico ซึ่งติดกับเขตแดนระหว่าง USA และ Mexico โดย จนท.ตัวใหญ่ เค้าให้หยุดรถและขอตรวจ Passport ก็โชคดีที่ทุกคนในรถหน้าเหมือนเด็กนักเรียน สไตล์เอเชีย จึงได้รับการปล่อยรถเร็วหน่อย > <
และจากที่เคยนั่งรถบัสจากประเทศสิงคโปร์ข้ามชายแดนมายังประเทศมาเลเชีย พอมาถึง Border ทุกคนต้องลงจากรถเพื่อผ่านขั้นตอนของ Immigration Office
ก่อนเดินทาง 1 วัน วางแผนว่าจะต้องไปถามเจ้าหน้าที่เพื่อความชัวร์เรื่องการผ่าน Immigration ที่สถานีรถไฟ Amtrak ซะก่อน จึงเช่าจักรยานแต่เช้าจากร้านเดิม "Rio" ที่ใช้บริการตลอดทริป กว่าจะถีบจักรยานมาถึงและต้องข้ามแยกไฟแดงหลายแยกอยู่ จนหาทางเข้า Pacific Central Station เจอก็ 2PM กว่าๆ

การตรวจวีซ่าก่อนขึ้นรถไฟ (border preclearance)เป็นข้อตกลงระหว่าง แคนาดากับเมกาเป็นพิเศษให้สามารถตั้ง immigration ในประเทศแคนาดาได้เพื่อลดโหลดของเมกาในการตรวจคนเข้าเมืองจากประเทศอื่นๆ
พอเข้าไปถึงเจอเจ้าหน้าที่ใจดี หยิบแบบฟอร์ม Immigration ใบเล็กขาว (Custom Declaration) และใบยาวสีเขียวให้เราเลยทันที 2 ชุด และให้คำแนะนำว่าเราควรเลือกที่นั่งด้านขวามือ เพราะเป็นวิว Scenic ที่สวยที่สุด เหมาะกับการนั่งหนเดียวหนเนี่ยของเรา :) สุดท้ายเค้าแนะนำให้มาถึงที่สถานีสัก ...AM ก่อนเวลารถออก โดยเตือนแบบขู่ๆ ว่า ถ้าเราไม่สามารถผ่าน Immigration ทันเวลา รถไฟก็ต้องออกเลยนะ

Early bird Trip

ช่วงเช้าวันเดินทาง ต้องขอบคุณ Wi มากที่ช่วยโทรเรียก Taxi ให้ เพราะเวลาฉุกเฉินเช่นนี้ เดินออกไปเรียกรถข้างนอก หรือคิดจะขึ้นรถเมล์คงไปไม่ทันแน่ๆ พอมาถึงยืนเป็นคิวแรกอย่างมั่นใจด้วยฟอร์มในมือที่กรอกเสร็จแล้ว พอเจ้าหน้าที่เปิดให้เข้า ก็ขอที่นั่งด้านขวาเลย ได้เลยทันที แต่ทันใดนั้น ป๊าป! จนท.หยิบฟอร์มใหม่ให้กรอกเลย เพราะที่มีนั้นผิดฟอร์ม > < เอิ่ม!
ฟอร์มยาวสีเขียวเป็นฟอร์มสำหรับสัญชาติที่ eligibility 217.2 ของ USA เท่านั้น เราต้องใช้ฟอร์มขาวค่ะ คนเอเชียที่ใช้ฟอร์มสีเขียวต้องเป็นคนสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เท่านั้น ที่เหลือต้องให้ฟอร์มขาวค่ะ
โชคดีมาล่วงหน้าทำความคุ้นเคยไว้ก่อน 1 วัน คงมีคนแบบเราน้อย จนท.แคนาดาจึงให้ฟอร์มผิดมา ไม่เป็นไร! เขียนมาแล้วรอบนึง เสร็จไว Line up ต่อไป จนกระทั่งเข้ามาถึงตรงสัมภาษณ์ เค้าให้ครอบครัวเข้าไปสัมภาษณ์ช่องเดียวกัน ถอดหมวก แต่สำคัญมากคือ ขณะที่เค้าถามคนหนึ่ง ห้ามอีกคนหนึ่งพยายามช่วยตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอธิบายกันเองเป็นภาษาอื่น เค้าจะดุด้วยเสียงดังมากกลับมาทันที อันนี้เหมือนจิตวิทยานะคะ เค้าเหมือนจะตรวจดูด้วยว่า คนที่เค้าสัมภาษณ์ปกติหรือไม่ และแม้ว่าเข้าไปทีละสองเป็นแบบ Family แต่การสัมภาษณ์ทีละคนนะคะ ช่วยพูดกันไม่ได้ รวมถึงเหมือนทดสอบจิตใจว่าเรายังทนได้ไม้ เชื่อว่าตรงนี้ดูพฤติกรรม Feedback ด้วยค่ะ เพราะกระชากเสียงแรง!
ตรงนี้ผ่านได้ไม่ยาก แต่ที่ทำให้ต้องเสียเวลาอีกหน่อย คือ ให้นั่งรอจ่าย Fee สักพัก และเดาว่าน่าจะต้องเป็น จนท. Senior หน่อยเก็บเงิน เราจ่ายไปคนละ 10USD (Credit card accepted) แต่ตรงเนี่ยเสียเงินกันอยู่ 3 คน ไม่แน่ใจเหตุผล แต่ไม่ได้ถามเพราะเวลางวดเข้ามาแล้วค่า กลัวจะไม่ทันเวลารถออก แต่ตอนที่รอเสียเงินนี่สิ เจ้าหน้าที่ที่มาเก็บเงินก็เป็นคนเดียวกับที่นั่งสัมภาษณ์ที่ Counter นั่นแหละ จึงทำให้รอนานนิดนึง สุดท้าย! ฮ่า! ผ่านมาได้ วิ่งหาทางขึ้นรถไฟ Amtrak ต่อ โดยต้อง Load กระเป๋าไว้ Bogie หนึ่ง และต้องไปขึ้นอีก Bogie ข้างหน้า พอได้ที่นั่งก็สบายละ ใจชื้น ^^ พร้อมมุ่งหน้า Seattle 253 กม.ค่ะ

WiFi on Board


Amtrak cascades มี WiFi และ Power outlet สบายไปตลอดทางค่ะ หยุดพักแว่บนึงทานอาหารเช้าบนรถไฟ ก่อนจะหาข้อมูลทริปต่อไปที่ Seattle และ SanFran พบว่า แซนวิชอร่อยมากเต็มคำ พร้อมกับกาแฟครบเครื่องมื้อเช้า
แต่มี Unexpected stop แต่ไม่นาน Announcer ค่อนข้าง Frank หาสาเหตุไม่ได้ก้อบอกว่าหาไม่ได้ - -"
จากการที่ Immigraton ของเมกามาตัั้งในประเทศแคนาดา นั้น พบว่ารั้วของ Amtrak สูงมาก และเส้นทางเลียบหาดก็ Access รถไฟยาก เพราะถือว่าขบวนรถเป็นเมกาไปแล้วตั้งแต่ในแคนาดา นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นให้กลับเข้ามาที่แคนาดาได้อีกครั้งแม้ว่า Visa แคนาดาจะเป็นแบบ Single Entry

At the Border

ดูวิวข้างทางไปสักพัก(ประมาณ 1 ชม.จาก Boarding at Canada) อ้าว! WiFi หาย! รถหยุด พอมองทางซ้ายนอกหน้าต่างก็พบช่องทางเดินรถแบ่งเป็นหลายช่อง เหมือนด่านเก็บค่าผ่านทาง เดาว่าเป็น Border ระหว่างประเทศแน่ๆ ซึ่งเป็นการตรวจด้าน Custom ซึ่ง จนท. ขึ้นมาทันทีหลายคน Inspect สัก 1/2 ชม. ดูบรรยากาศจากวิดีโอนะคะ ที่ตอนแรกถ่ายวิดีโอนกบินอย่างชิลล์เลย ทันใดนั้น ตำรวจขึ้นมาพร้อมปืน เข้าตรวจ passport ทุกคน พอเสียงดังปึงปังขึ้นรถมา เก็บ iPhone ดีกว่า เด่วโดนริบ > < รถไฟวิ่งเลียบริมทะเลตลอดทางขนานไปกับ Interstate หมายเลข 5 ดังนั้นวิวนอกหน้าต่างด้านขวามือของเราเนี่ยสวยตลอดทางค่ะ ทำให้อดนึกถึงเจ้าหน้าที่ใจดีชาวแคนาเดี้ยนคนนั้นไม่ได้ แต่ขอบคุณครึ่งหนึ่ง เพราะว่าฟอร์มที่เค้าให้มาผิดอ่ะ

Arriving Seattle

ขาลงไม่ได้ซีเรียสเท่าไร เพราะมี WiFi ดูตลอดทาง ลงถูกแน่ๆ แต่ที่กังวลคือ เรื่องกระเป๋าที่อยู่อีก Bogie แต่ก็เรียบร้อยดี เพราะเจ้าหน้าที่นำมาวางไว้ให้ในสถานี โดยต้องแสดง Slip กระเป๋าเพื่อรับด้วย
พอมาถึงที่นี่ ขอบคุณ Joy ที่ว่างพอดีมารับเราที่สถานีได้ มีคนช่วยไกด์ทางให้ Happy Hours Happy Trip เลยค่ะ ^^/